โปรโมชั่นเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
ลงทะเบียนรับโปรโมชั่นลดเหลือ 74,900 บาท จากปกติ 130,000
-ปรึกษาฟรีก่อนทำ
-จ่ายราคาเดียวสามารถเลือกซิลิโคนได้ตามต้องการ (Mentor, Silimed,Natrella,Sebbin)
-ฟรีค่าดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
-ฟรียากิน ยาทา
-ฟรี Sport bar เพื่อช่วยกระชับทรงหลังผ่าตัด
-ฟรีคีลอยด์ 3 ครั้ง เพื่อลดแผลนูนหลังผ่าตัด
-ฟรีเลเซอร์ลดรอยดำ 3 ครั้ง
ผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นพ.ธนคม ใหลสกุล ประสบการณ์มากกว่า 10 ปี
*สงวนสิทธิ์ราคาโปรโมชั่น เฉพาะคนลงทะเบียนเท่านั้น*
ซิลิโคนทรงกลม
แม้ว่ากระแสซิลิโคนทรงหยดน้ำจะมาแรง แต่ซิลิโคนทรงกลมยังคงเป็นตัวเลือกที่เป็นมาตรฐานและดีที่สุด สำหรับคนที่ต้องการเสริมหน้าอกโดยทั่วไป, คนที่ต้องการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่ หรือคนที่ต้องการเสริมให้เนื้อหน้าอกบริเวณด้านบนดูอวบอิ่มขึ้นเพื่อโชว์เนินอก ซิลิโคนทรงกลมมีขนาดที่หลากหลาย มีทั้งทรงพุ่งมากและพุ่งน้อย ในการเสริมก็ต้องเลือกให้เหมาะกับลักษณะของเต้านม
ซิลิโคนทรงหยดน้ำ
เป็นทรงที่ถูกออกแบบมาให้เลียนแบบเต้านมตามธรรมชาติที่ลักษณะคล้ายหยดน้ำ คือบริเวณส่วนล่างจะใหญ่กว่าส่วนบน หน้าอกหลังเสริมจึงดูเป็นธรรมชาติ และด้วยทรงของซิลิโคนที่ไม่สมมาตร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบิดเบี้ยว นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซิลิโคนทรงหยดน้ำเป็นกระแสขึ้นมา
แพทย์ผ่าตัดใส่ซิลิโคนเข้าไปทางใด?
โดยทั่วไป ศัลยแพทย์จะผ่าตัดใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปในเต้านมผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังนี้
- ใต้รักแร้สองข้างเป็นตำแหน่งที่นิยมผ่าตัดมากที่สุดเพราะสามารถซ่อนรอยแผลผ่าตัดได้ดี แม้หลังทำจะเจ็บมากกว่าการเปิดแผลที่ตำแหน่งอื่น แต่แผลจะหายเร็วกว่าและสามารถเริ่มนวดหน้าอกได้เร็ว โอกาสจะเกิดปัญหาเรื่องพังผืดมารัดตัวถุงซิลิโคนจะน้อยลง
- บริเวณปานนมเหมาะทำในคนที่หน้าอกหย่อนคล้อยโดยจะเสริมหน้าอกไปพร้อมกับยกกระชับหน้าอก หลังเสริมจะมีแผลเป็นที่ปานนม และอาจมีปัญหาหัวนมชาชั่วคราวได้
- ใต้ราวนมจะมีแผลผ่าตัดใต้ราวนมยาวประมาณ 3-4 ซม. ซึ่งต้องรอให้แผลหายดีก่อนจึงจะเริ่มนวดหน้าอกได้
เตรียมตัวอย่างไรก่อน เสริมหน้าอก
- เมื่อมาพบแพทย์ควรสอบถามแพทย์ให้เข้าใจเกี่ยวกับการเสริมหน้าอก เช่น ซิลิโคนที่ใช้, เทคนิคการผ่าตัด, การดูแลหลังทำ, ภาวะแทรกซ้อน เป็นต้น เพื่อความเข้าใจและมั่นใจที่จะเข้ารับการผ่าตัด ตลอดจนแจ้งแพทย์ให้ทราบว่าต้องการหน้าอกขนาดใหญ่เท่าไร หรือขนาดของซิลิโคนที่ต้องการ
- แจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ เช่น โรคประจำตัว, ยาที่รับประทานเป็นประจำ ควรนำยาที่รับประทานอยู่ทั้งหมดมาปรึกษาแพทย์ก่อนทำผ่าตัด
- ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไป และตรวจเลือดก่อนผ่าตัด
- งดการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ประมาณ 2 สัปดาห์ และงดวิตามิน อาหารเสริมที่มีผลต่อการบวมช้ำของแผลได้ เช่น วิตามิน A, วิตามิน E, น้ำมันตับปลา ประมาณ 1สัปดาห์ ก่อนผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเสริมนม ประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่อาจจะลดประสิทธิภาพในการหายของแผล และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- เนื่องจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกแพทย์จะต้องมีการเลาะช่องสำหรับใส่ถุงซิลิโคนในบริเวณกว้างพอสมควร และเพื่อลดความเครียดกังวลใจขณะผ่าตัด จึงต้องทำโดยการดมยาสลบ ก่อนผ่าตัดต้องงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อมิให้เกิดการสำลักอาหารที่อาจจะค้างในกระเพาะอาหารได้ในระหว่างดมยาสลบ
ขั้นตอนการผ่าตัด เสริมหน้าอก
แพทย์จะเปิดแผลผ่าตัดซึ่งส่วนมากจะเป็นที่รักแร้ เนื่องจากสามารถซ่อนรอยแผลเป็นได้ดี จากนั้นจะเลาะช่องสำหรับวางถุงซิลิโคน อาจเป็นใต้ตัวเนื้อนมหรือใต้กล้ามเนื้อหน้าอกก็ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์
เมื่อจัดวางถุงซิลิโคนเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็จะเย็บแผลปิดด้วยไหมขนาดเล็ก ๆ โดยทั่วไป การผ่าตัดเสริมหน้าอกจะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังการผ่าตัดต้องนอนพักในโรงพยาบาล 1 – 2 วัน ระยะเวลาในการพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ ในช่วง 2 -3 วันแรกหลังทำอาจมีความรู้สึกตึงและปวดได้ ถือว่าเป็นอาการปกติ ส่วนตัวเต้านมจะค่อย ๆ ยุบบวมลงจนเข้าที่ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 เดือน
การปฏิบัติตนหลังผ่าตัด เสริมหน้าอก
- ในช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัด ควรระมัดระวังไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ
- งดยกสิ่งของหนักเหนือศีรษะ และงดกิจกรรมหนักหรือใช้กำลังมาก ประมาณ 1 เดือน
- ในช่วงฟื้นตัวระยะแรกควรหลีกเลี่ยงเสื้อชั้นในแบบมีโครง เพราะแรงดันจากโครงอาจทำให้เกิดรอยบนหน้าอกตามแนวโครงได้
- แผลผ่าตัดโดยมากใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก็มาตัดไหมได้ ส่วนแผลเป็นจะจางหายไปใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
- หากแพทย์แนะนำให้นวดหน้าอกควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดจนเต้านมแข็งตึงไม่เป็นธรรมชาติ
- หากมีอาการผิดปกติควรกลับมาพบแพทย์โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด
- ผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรหมั่นตรวจดูเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ เพื่อดูลักษณะเต้านมว่ายังคงสภาพปกติดีหรือไม่ หากมีข้อสงสัยหรือปัญหาควรปรึกษาแพทย์
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล**